3.? มาเซอร์ "หมอ"
ในบรรดางานที่คุณแม่ลุยยีนาได้รับมอบหมายตั้งแต่ระยะแรก ๆ นั้น งานพยาบาล การอภิบาลผู้เจ็บป่วยเป็นงานที่ท่านต้องทุ่มเทแรงกายและใจมาก เพราะตามที่คุณแม่อันตนเนียตตาเล่า มีคนเจ็บป่วยเข้าแถวยาวรอการรักษาในแต่ละวัน คนป่วยเป็นคนทุกประเภท ทั้ง คริสตชนและที่ไม่ใช่คริสตชน แถมยังมีบรรดาภิกษุในพุทธศาสนามารับการรักษาด้วย ท่านทำงานนี้ด้วยความรัก ใจดี เมตตาปราณีต่อผู้ป่วยทุกคน ในห้องพยาบาลเล็กๆ ที่ท่านทำงานมีรูปคุณพ่อบอสโกตั้งอยู่ เป็นทั้งแรงบันดาลใจและพลังในการทำงานของท่านอยู่เสมอ คนเจ็บป่วยบางรายเพียงแต่มาขอยา แต่บางรายก็มีอาการหนัก ท่านทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดไปด้วย ด้วยความไว้วางใจในพระเจ้าและอาศัยความช่วยเหลือของคุณพ่อบอสโก ทุกคนที่มาหาท่านได้รับการรักษาให้หายจากโรค และยังได้รับกำลังใจจากคำแนะนำแม้เล็กน้อยจากท่าน
สมาชิกผู้รับใช้ ฯ คนหนึ่งที่ไม่ระบุชื่อ เขียนตามที่คุณแม่ลุยยีนาเล่าว่า
" เมื่อคุณแม่ลุยยีนามาอยู่ประเทศไทยใหม่ ๆ ในปี 1932? ท่านประจำอยู่ที่วัดบางนกแขวก เมื่อหัดพูดภาษาไทยได้บ้างแล้ว ท่านก็เริ่มรักษาคนเจ็บป่วย รักษาฟรี ตามที่คุณพ่อปาซอตตีมอบหมายให้ทำ ท่านรักษาไปตามความรู้ด้วยการพยาบาลเท่าที่มีอยู่อย่างซื่อ ๆ เพราะไม่ใช่หมอตามที่คนเรียกกัน แต่ด้วยความศรัทธาร้อนรนต่อแม่พระประกอบกับความกล้าหาญและความเอาใจใส่ของท่าน ทำให้หลายคนหายจากโรคอย่างอัศจรรย์ เช่นคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาขอให้คุณแม่รักษา ขณะที่ท่านกำลังล้างแผลที่เท้า กระดูกชิ้นหนึ่งหลุดลงไปในถังที่ล้างแผล คุณแม่ก็เก็บขึ้นมาประกบติดอย่างเดิม ใส่ยา พร้อมกับอธิษฐานภาวนาแล้วเอาผ้าพันเท้าทั้งหมดไว้ เมื่อกลับถึงบ้านเท้าของชายผู้นั้นกลับหายเป็นปกติ"
ด้วยความไว้วางใจของคุณแม่ลุยยีนา คุณพ่อบอสโกได้รักษาเด็กหญิงคนหนึ่งอย่างอัศจรรย์ ขอยกสำเนาคำให้การของมารดาของเด็ก มาบันทึก ณ ที่นี้
"ข้าพเจ้า ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลคลองวัดประดู่ อำเภออัมพวา แต่เนื่องด้วยความอัตคัดขัดสน เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องเร่ร่อนคอนเรือแลกสินค้นพอประทังชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง
"ข้าพเจ้าชื่อ เจิม อายุ 40 ปีเศษ สามีชื่อ ลิ่น อายุ 50 ปี มีบุตรีด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อ โสม เดี๋ยวนี้ย่างเข้า 4 ขวบ
"เวลาที่เกิดเหตุนี้ ตรงกับ 11.25 น. (ก่อนเที่ยง) ของวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1933 ข้าพเจ้าและครอบครัวได้คอนเรือมาพักที่ใกล้ ๆ วัดเจริญสุข (วัดไทย ประตูน้ำบางนกแขวก) เพื่อมีโอกาสจะได้นัดสินค้ากับราษฎรในวันรุ่งขึ้น
"ณ วันเวลาที่กล่าวนี้ บุตรีข้าพเจ้า เด็กหญิงโสม เพราะธรรมชาติซุกซน ได้นั่งลงในหม้อข้าวต้มเดือดซึ่งวางอยู่บนเรือนั้น? ข้าพเจ้าประสพเหตุการณ์เข้า รีบวิ่งไปช่วยเอาออกมา แต่สายไปเสียแล้ว บริเวณที่ถูกแช่ด้วยน้ำร้อนพุพองไปหมด เด็กนั้นได้ร้องครวญครางอย่างน่าสังเวชข้าพเจ้าตะลึงงัน ไม่ทราบว่าจะทำประการใดดี ได้แต่นั่งปลงอนิจจังไปตามภาษาของผู้ที่ไร้ความรู้และที่พึ่ง ข้าพเจ้าคงทิ้งลูกน้อยให้ทนลำบากไปตามยถากรรมเป็นเวลาถึงสามวัน ต่อมาเห็นท่าไม่เป็นการ จึงไปขออาศัยบ้านนางจำลอง บุสเทพ ซึ่งแต่ก่อนสามีของข้าพเจ้าเคยรับใช้อยู่กับท่านท่านก็รับไว้ด้วยความยินดีเต็มใจ ในระหว่างที่พักอยู่กับท่านผู้นี้ เด็กของข้าพเจ้าได้ร้องครวญคราง เพราะพิษน้ำร้อนนั้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงนอนตาไม่หลับ
วันที่ 5 ธันวาคม นางจำลองได้แนะให้ข้าพเจ้านำบุตรีมารักษา ณ โรงพยาบาลน้อย ๆ ของนางชีธิดาแห่งแม่พระในอารามบางนกแขวก
ขณะที่นำมานั้น เด็กก็ยังคงร้องและต้องอุ้มประคองเสมอ
"นางชีผู้ใจบุญได้เปิดแผลออกชำระ ปรากฏว่า หนังที่ก้นพุพองเปื่อยและน้ำหนองเฟอะ เลือดไหลออกไม่หยุด และในระหว่างที่รักษาก็ต้องนอนพังพาบอย่างน่าเวทนา ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็อุ้มกลับบ้าน
"ณ คืนวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1933? อาการไข้ของเด็กขึ้นสูง กระสับกระส่ายและร้องอึกทึกเช่นเคยจนดึก ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประคองกล่อมด้วยความรัก แต่เหลือกำลังที่จะทนถ่างตาต่อไปอีกได้ จึงม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
"เมื่อกำลังม่อยหลับอยู่นี้ ข้าพเจ้าเห็นชายคนหนึ่ง ค่อนข้างแก่ ผิวเนื้อขาว สรวมเสื้อดำยาวกรอมส้น และสรวมรองเท้าเรียบร้อย ค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามายังข้าพเจ้าและเด็ก พลางเลิกผ้าพันแผลเด็กนั้นออกดู ข้าพเจ้าตกตะลึง ไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะไม่เคยพบเห็นเลยในชีวิต ท่านหันมายิ้มกับข้าพเจ้า และกล่าวว่า "ไม่เป็นไร พ่อรักษาเอง แต่ต้องสัญญาก่อนนะว่า เมื่อหายแล้วจะเอาไปอยู่กับมาเซอร์.. มาเซอร์ (ท่านย้ำ 2 ครั้ง) เข้าใจไหม " ข้าพเจ้าฉงนใจเลยสะดุ้งตื่น มองเห็นเด็กหลับสนิทและไม่รบกวนอะไรอีกตลอดรุ่ง
"ครั้งรุ่งเช้าวันที่ 8 เด็กนั้นตื่นขึ้น ดูหน้าตาแช่มชื่นผิดปกติ มิได้ร้องรบกวนอีกเลย และลุกเดินได้บ้างแล้ว พลางรบเร้าให้ข้าพเจ้าพาไปหานางชี และบอกว่าจะอยู่กับท่านเลย เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าประหลาดใจหนักขึ้น
"เวลาที่ข้าพเจ้านำเด็กนี้ไปรักษายังโรงพยาบาลของนางชี
ข้าพเจ้าไม่เชื่อถือนัก คงอุ้มมาตามเดิม? แต่เด็กนั้นร้องขอให้ข้าพเจ้าวางลง จะเดินไปเอง? ข้าพเจ้าก็อนุโลม
"พอถึงโรงพยาบาล มีชนมาขอรักษามากมาย? ต้องรออยู่สักครู่หนึ่ง ครั้นว่างคน? ข้าพเจ้าก็นำเด็กเข้าไป แต่อัศจรรย์แท้ พอนางชีเลิกผ้าออกดู เห็นแผลนั้นแห้งสนิท มิได้พุพองเช่นเดิม ทุก ๆ คนที่อยู่ก็พากันมาดู แล้วต่างก็ร้องเป็นคำเดียวกันว่า "ยานี้ศักดิ์สิทธิ์จริง" นางชีประหลาดใจไม่น้อย เพราะแผลชนิดนี้ต้องเสียเวลารักษาอย่างน้อยถึง 15 วัน แต่นี่เหตุไฉน จึงหายภายในสามวันเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องที่ได้ฝันเห็นนั้นให้ทุก ๆ คนทราบ และเผอิญเหลือบไปเห็นรูปชายผู้สง่างามนั้นแขวนอยู่ข้างฝา ก็จำได้แม่นยำว่า เป็นรูปผู้นี้เอง (คุณพ่อบอสโก) ที่ได้มาหาข้าพเจ้าในคืนวันนััน แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นคนต่างศาสนา ไม่เคยเห็นท่านผู้นี้มาก่อนเลย ทั้งไม่รู้จักวัดโรมันคาทอลิกบางนกแขวกเสียด้วยซ้ำ ว่าสำคัญอย่างไร
"ในขณะนั้น ดูเหมือนว่า เด็กนั้นรู้สึกคันที่แผล จะเอามือเกา แต่นางชีห้ามและช่วยกันจับไว้
"ครั้นชัณสูตแผลประหลาดนั้นเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะนำเด็กของข้าพเจ้ากลับบ้าน แต่เด็กไม่ยอมกลับ ขออยู่กับนางชี ข้าพเจ้าจนใจจึงปล่อยให้อยู่ในความอารักขาของท่านเพื่อน้อมตามคำขอของท่านผู้นั้นที่ข้าพเจ้าได้เห็นเมื่อคืนวันที่ 7 นั้น
"ส่วนเด็กคงเล่นหวัวได้เช่นเคย? ราวกับว่ามิได้มีเหตุอะไรเกิดขึ้นแก่เขาเลย? น่าอัศจรรย์อย่างที่สุด"
คำบรรยายนี้ จ.ท.ประชุม มินประพาฬ จดตามปากคำของนางเจิม มารดาของเด็กหญิงโสมเอง โดยมีคุณพ่อกาแซตตา ยวง เจ้าวัดบางนกแขวก อยู่เป็นประธาน และนายเลื่อน จวบสมัย นายกิมช้วน แซ่โจ๊ว (ผู้ใหญ่บ้านทั้งสอง) กับนายแวน ไมเคิล ชื้อชมบุญ ครู ร.ร. ดรุณานุเคราะห์เป็นพยานฟังอยู่ด้วย เมื่อได้อ่านทวนอีกสองจบ และผู้แถลงรับรองว่า ถูกต้องทุกประการแล้วทั้งหมดจึงลงนามไว้เป็นสำคัญ (โดยคุณพ่อปาซอตตี กาเยตาโน เจ้าคณะแขวงมิสซังราชบุรี)
นอกจากอัศจรรย์ดังกล่าว หนังสืออนุสรณ์ธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ 50 ปีในประเทศไทย ยังได้เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของคุณแม่ลุยยีนา ในสถานพยาบาลที่บางนกแขวกเพิ่มเติมว่า
"วันหนึ่ง "มาเซอร์หมอ" ต้องเผชิญกับคนป่วยหน้าเหี้ยม เขาถูกกระสุนปืนที่หัวเข่าเป็นรูใหญ่ เขารักษากับหมอกลางบ้านมานาน 2 เดือน ... แต่ไม่หาย จึงลองบากหน้ามาหามาเซอร์หมอ ... ไหนจะตกประหม่า จนปัญญากับการใช้ภาษา ... ไหนจะกลัวใบหน้าที่ส่อว่าเป็นผู้ร้ายใจทมิฬ... และก็เป็นจริง ๆ ... แผลเหม็นคลุ้ง แต่วิญญาณในร่างกายเขานั่นสิที่ต้องคำนึงถึงด้วย ซิสเตอร์หมอจึงก้มหน้าก้มตาชะล้างแผล... ใส่ยา... ผสมคำภาวนา? บอกใบ้ให้กลับมารักษาแผลทุก 2 วัน ยังไม่ทันข้ามเดือน แผลก็หายสนิท ใบหน้ากลับแจ่มใสเป็นคนละคน เขาหอบไม้กวาดมัดใหญ่มาถวายให้เป็นเครื่องแสดงใจรู้คุณ แผลก็หาย... จิตใจที่ร้ายก็กลับดี
"อีกรายหนึ่งที่ส่อชัดในฝีมือของพระมารดา (ผ่านทางคุณแม่ลุยยีนา) เช่นกัน เมื่อต้องตัดสินใจผ่าตัด โดยไม่เคยชำนาญมาเลย แหวะเนื้อเพื่อคีบไม้ชิ้นยาวที่เสียบลึกอยู่ในเท้าของชายผู้หนึ่ง ที่ร้องครวญครางมาหาด้วยความเจ็บปวดเหลือทน เพราะเหตุ... กระโดดจากเรือลงน้ำ... เจ้ากรรมไปเท้าจิ้มเอาตอไม้เข้า มือของมาเซอร์สั่นระริก... ปากก็พร่ำภาวนาขอพลังใจจากพระมารดา ให้ช่วยเป็นศัลยแพทย์แทนตน ให้เกิดประสิทธิผลในเหตุครั้งนี้ด้วย หลังจากชะล้างแผลอีกเพียงไม่กี่ครั้ง ก็หายสนิทเหมือนปลิดทิ้ง ฝีมือของมาเซอร์หมอหรือ ... ไม่ใช่แน่ นอกจากฝีมือแท้ ๆ ของพระมารดาเอง"
นอกจากผู้เจ็บป่วยจากชุมชนที่มารับยาและการรักษาจากคุณแม่ลุยยีนาแล้ว บรรดาสมาชิกธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ และซาเลเซียนก็ต้องการการดูแลเช่นกัน เพราะในสภาพของประเทศไทยขณะนั้น แทบทุกคนจะติดเชื้อมาลาเรีย มีอาการจับไข้ ตัวเหลืองและหมดแรง ดังนั้น ตั้งแต่เช้าทุกคนจะผ่านมาที่สถานพยาบาลของคุณแม่ลุยยีนา รับการฉีดยาบำรุงกำลังและรับยาจากท่าน
??สารสาสน์??? ปี 1934?? หน้า? 96-100?? ??เทียบ? Cronistoria Ispettoria Thailandese "S.M.Mazzarello" FMA? 1931-1981? ?SIHM 10.2003 ?p.12
?ธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ 50 ปีในประเทศไทย?? ปี 1981? (ไม่มีหน้าหนังสือ) ?
?เทียบ? Ispettoria Thailandese,? Cenni Biografici di Sr.Luigina di Giorgio SIHM 10.2002 p.3 ??เทียบ? Cronistoria Ispettoria Thailandese "S.M.Mazzarello" FMA? 1931-1981? SIHM 10.2003 ?p.10